ผมขอแชร์ประสพการณ์ ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองในการกู้เงินกับ แบงค์ม่วงในตำนาน ที่เห็นคนแชร์กันอย่างมากในพันทิป และไม่เคยคิดมาก่อนด้วยว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเอง ทั้งๆที่ ปีนี้ แบงค์นี้ปรับกลยุทธ์ใหม่ ปรับ Brand ให้ดูทันสมัย แต่ไม่คิดเลยว่า ความห่วยจะมากล้นเหมือนที่หลายๆ คนในพันทิปได้เจอมาด้วยตัวเอง
เหตุการณ์ของผมเริ่มต้นด้วยการใช้สินเชื่อสีม่วง สำหรับซื้อคอนโดเมื่อ 3 ปีก่อน สาเหตุที่ใช้เพราะ เป็นธนาคารที่รับเงินเดือนของบริษัทที่ทำงานอยู่โดยตรง และได้รับดอกเบี้ยโครงการเงินสินเชื่อพิเศษของพนักงาน (แต่เทียบกับแบงค์อื่นแล้วก็ยังถือว่าแพงกว่ามาก แต่รับได้เพราะไม่อยากยุ่งยากในการขอสินเชื่อ)
พอเวลาผ่านไปจนผ่อนครบ 3 ปี เมื่อเดือนก่อน (กรกฏาคม 2018) โดยการหักเงินกู้ผ่านบัญชีเงินเดือนทุกเดือนไม่มีขาดตก และพอวันที่อยากจะขอ retention ดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าชั้นดี เพราะไม่อยากเสียเวลาไปทำธุรกรรมที่กรมที่ดิน และเอกสารอื่นๆ อีกจิปาถะในการขอทำ Refinance
ผมเริ่มต้นด้วยการโทรเข้า call center เพื่อแจ้งความจำนงค์ ในการขอ Retention ดอกเบี้ยพิเศษ จากนั้น ทาง Call center ส่งอีเมล์ เพื่อแจ้งขั้นตอนการขออนุมัติ มาให้โดยได้ส่งมาเป็นเอกสารใบแจ้งคำร้องให้กรอก พร้อมร้องขอเอกสารเพิ่มเติม อาทิ สำเนาบัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, สำเนาทะเบียนสมรส
มาถึงจุดนี้แหละที่ความห่วยของแบงค์ม่วงในตำนานก็เริ่มแสดงให้เห็น
1) แบบฟอร์มที่ส่งมาทางอีเมล์เป็นแบบฟอร์มที่ต้องพิมพ์ออกมา และนำมากรอกข้อมูลด้วยมือ ไม่มีแบบฟอร์ม digital ที่สามารถพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ และให้ส่งกลับเป็น digital file ได้
2) เอกสารทุกอย่างเมื่อกรอกเสร็จต้องทำเป็น digital อีกครั้งโดยการ Scan หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อส่งกลับให้ทางธนาคารอนุมัติในรูปแบบ Digital format
3) ในแบบฟอร์มคำร้อง มีการสอบถามข้อมูลต่างๆมากมาย อาทิ วันที่ทำสัญญา เลขที่สัญญา ยอดเงินกู้คงเหลือล่าสุด ซึ่งข้อมูล โดยเฉพาะ วันที่ทำสัญญา อันนี้ ถ้าลูกค้าไม่กลับไปรื้อหาสัญญาฉบับจริงที่เก็บไว้เมื่อ 3 ปีก่อนหน้า ก็คงไม่สามารถหามากรอกได้
จากนั้นผมก็ส่งเอกสารกลับไป รอไปตามข้อความที่ระบุรอผลอนุมัติภายใน 15 วัน โดยในคำร้องมีข้อความปกป้องธนาคาร ว่าผลการอนุมัติต่างๆ ขึ้นอยู่กับทางธนาคาร หากไม่อนุมัติมีสิทธิที่จะใช้เวลาในการพิจารณาใหม่ได้อีกไม่น้อยกว่า 15 วัน (แต่จุดนี้เองหากไม่อนุมัติ และดึงดอกเบี้ยที่เสียก็จะไม่ได้รับการรับผิดชอบ ผมก็คงต้องเสียดอกเบี้ยที่แพงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพิจารณาอนุมัติ)
ผมรอไปประมาณ 1 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ และแจ้งว่าใบคำร้องทีส่งไปเป็นแบบฟอร์มเก่าและส่งอันใหม่มาให้ส่งกลับไปอีกครั้ง ในเรื่องขอดอกเบี้ยพิเศษ และต้องเอาเอกสารมากรอกอีกครั้ง พร้อมแนบเอกสารแนบอื่นๆ อีกหนึ่งครั้ง (ความงี่เง่าของระบบครั้งที่ 2 ที่ให้ลูกค้าต้องเสียเวลาจัดเตรียมเอกสาร)
เวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ มีโทรศัพท์จากทีมอนุมัติสินเชื่อ ติดต่อกลับมาว่า ผลขออนุมัติดอกเบี้ยพิเศษของผมไม่ผ่าน เพราะไปตรวจสอบประวัติของคู่สมรสว่ามีการติด Blacklist อันนี้ผมถึงกลับงงเป็นไก่ตาแตก เพราะวงเงินกู้สินเชื่อนี้ ผมกู้คนเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภรรยา และเงินกู้ตัดผ่านบัญชีเงินเดือน ไม่เคยมีประวัติไม่ชำระ และอีกทั้งไม่มีเอกสารขออนุญาติจากทางธนาคารเพื่อเช็ค Blacklist หรือ Credit bureau ของคู่สมรสผมเลย แต่งงว่าทำไมธนาคารมีสิทธิ์ไปตรวจสอบ และผมมีประวัติดีมาตลอด
จากจุดนี้เอง ผมเลยเริ่มไปปรึกษากับเพื่อนๆที่ทำงานในแวดวงธนาคารเกี่ยวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทุกคนที่รู้จักถึงกลับตกใจว่าธนาคารสีม่วงมีสิทธิ์อย่างไร ในการตรวจสอบข้อมูล ของคู่สมรสผมทั้งทีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกู้ และขอลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ เพราะธนาคารไม่มีสิทธิ์ที่จะดำเนินการในส่วนนี้ได้เอง หากไม่ได้มีการขออนุญาติจากเจ้าของบัญชีในการตรวจสอบเครดิต (ความงี่เง่าและขึ้โกงอันดับ 3)
พอได้รับคำตอบ ผมจึงเรื่มเปลี่ยนใจ ยอมที่จะเสียเวลาเพื่อทำเรื่องย้าย Refinance ไปสีอื่นที่น่าจะตอบโจกท์มากกว่า
ผมเริ่มประสานงานส่งเอกสารเพื่อขออนุมัติ จนได้รับอนุมัติ และเหลือขั้นตอนสุดท้าย คือ ขาดสำเนาเอกสารใบรับเงินกู้เมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อเป็นเอกสารประกอบการอนุมัติของอีกธนาคาร
ผมกลับมาติดต่อกับทางแบงค์ม่วงอีกครั้ง ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม คือส่งอีเมล์ให้ส่งคำร้องงี่เง่า เอกสารเหมือนครั้งก่อน เพื่อขอเอกสารแค่สำเนาใบรับเงินกู้ เพื่อนำไปส่งต่อให้กับทางอีกธนาคารเพื่อ final approve และรอทำสัญญา
และหลังจากที่ทำในส่วนนั้นเสร็จ ต้องกลับมาส่งใบคำร้องอีกครั้ง เพื่อขอทำเรื่องปิดบัญชี และ Refinance เพื่อไปโอน และพร้อมใบเสร็จรับเงินเดือนสุดท้าย ที่พึ่งชำระไป
และก็ต้องรออีก อย่างน้อย 15 วันเช่นเคย เพื่อขอผลอนุมัติการขอ Re Finance และหากไม่อนุมัติ ก็จะต้องรออีก 15 วันไปเรื่อย ๆ
จากเหตุการณ์ที่เล่ามาสรุปได้เลยว่า ทางแบงค์ม่วงในตำนานก็ใช้สูตรเดิมๆ เพื่อดึงให้ดอกเบี้ยวิ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะย้ายกันจบ อย่างน้อยก็คงต้องมีอีกเป็นเดือน หรือต้องจ่ายดอกเบี้ยของเดือนที่จะถึงอีก และไม่แน่ใจว่าจะได้โอนไปที่ใหม่หรือไม่ ทั้งๆที่ไม่อยากลดดอกเบี้ยแต่ก็ไม่ยอมให้ออกไปง่ายๆ
ขอฝากเตือนเพื่อนๆ ทุกๆคนที่คิดว่าจะใช้ม่วงในตำนาน ก็ให้คิดให้ดีๆ ก่อน ว่าหากจะอยู่ยาวก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่หากวันไหนไม่พอใจ จะย้ายออกหรือขอดอกเบี้ยพิเศษ คงต้องคิดกันหนัก เพราะแบงค์นี้ขึ้นชื่อเรื่องดึง
เคสผมหากรอบนี้ไม่ได้รับการติดต่อหรือช่วยเหลืออย่างดี ผมคงต้องแจ้งไปที่ BOT เพื่อร้องเรียนแน่นอน
ขอแชร์ประสพการณ์ไว้เท่านี้ ขอให้ทุกท่านโชคดีนะครับ ก่อนตัดสินใจเลือกใครมาดูแลเรา
โดนเข้าให้แล้ว!! จะ Refinance ออกจาก SCB (แบงค์ในตำนาน)
เหตุการณ์ของผมเริ่มต้นด้วยการใช้สินเชื่อสีม่วง สำหรับซื้อคอนโดเมื่อ 3 ปีก่อน สาเหตุที่ใช้เพราะ เป็นธนาคารที่รับเงินเดือนของบริษัทที่ทำงานอยู่โดยตรง และได้รับดอกเบี้ยโครงการเงินสินเชื่อพิเศษของพนักงาน (แต่เทียบกับแบงค์อื่นแล้วก็ยังถือว่าแพงกว่ามาก แต่รับได้เพราะไม่อยากยุ่งยากในการขอสินเชื่อ)
พอเวลาผ่านไปจนผ่อนครบ 3 ปี เมื่อเดือนก่อน (กรกฏาคม 2018) โดยการหักเงินกู้ผ่านบัญชีเงินเดือนทุกเดือนไม่มีขาดตก และพอวันที่อยากจะขอ retention ดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าชั้นดี เพราะไม่อยากเสียเวลาไปทำธุรกรรมที่กรมที่ดิน และเอกสารอื่นๆ อีกจิปาถะในการขอทำ Refinance
ผมเริ่มต้นด้วยการโทรเข้า call center เพื่อแจ้งความจำนงค์ ในการขอ Retention ดอกเบี้ยพิเศษ จากนั้น ทาง Call center ส่งอีเมล์ เพื่อแจ้งขั้นตอนการขออนุมัติ มาให้โดยได้ส่งมาเป็นเอกสารใบแจ้งคำร้องให้กรอก พร้อมร้องขอเอกสารเพิ่มเติม อาทิ สำเนาบัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, สำเนาทะเบียนสมรส
มาถึงจุดนี้แหละที่ความห่วยของแบงค์ม่วงในตำนานก็เริ่มแสดงให้เห็น
1) แบบฟอร์มที่ส่งมาทางอีเมล์เป็นแบบฟอร์มที่ต้องพิมพ์ออกมา และนำมากรอกข้อมูลด้วยมือ ไม่มีแบบฟอร์ม digital ที่สามารถพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ และให้ส่งกลับเป็น digital file ได้
2) เอกสารทุกอย่างเมื่อกรอกเสร็จต้องทำเป็น digital อีกครั้งโดยการ Scan หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อส่งกลับให้ทางธนาคารอนุมัติในรูปแบบ Digital format
3) ในแบบฟอร์มคำร้อง มีการสอบถามข้อมูลต่างๆมากมาย อาทิ วันที่ทำสัญญา เลขที่สัญญา ยอดเงินกู้คงเหลือล่าสุด ซึ่งข้อมูล โดยเฉพาะ วันที่ทำสัญญา อันนี้ ถ้าลูกค้าไม่กลับไปรื้อหาสัญญาฉบับจริงที่เก็บไว้เมื่อ 3 ปีก่อนหน้า ก็คงไม่สามารถหามากรอกได้
จากนั้นผมก็ส่งเอกสารกลับไป รอไปตามข้อความที่ระบุรอผลอนุมัติภายใน 15 วัน โดยในคำร้องมีข้อความปกป้องธนาคาร ว่าผลการอนุมัติต่างๆ ขึ้นอยู่กับทางธนาคาร หากไม่อนุมัติมีสิทธิที่จะใช้เวลาในการพิจารณาใหม่ได้อีกไม่น้อยกว่า 15 วัน (แต่จุดนี้เองหากไม่อนุมัติ และดึงดอกเบี้ยที่เสียก็จะไม่ได้รับการรับผิดชอบ ผมก็คงต้องเสียดอกเบี้ยที่แพงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพิจารณาอนุมัติ)
ผมรอไปประมาณ 1 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ และแจ้งว่าใบคำร้องทีส่งไปเป็นแบบฟอร์มเก่าและส่งอันใหม่มาให้ส่งกลับไปอีกครั้ง ในเรื่องขอดอกเบี้ยพิเศษ และต้องเอาเอกสารมากรอกอีกครั้ง พร้อมแนบเอกสารแนบอื่นๆ อีกหนึ่งครั้ง (ความงี่เง่าของระบบครั้งที่ 2 ที่ให้ลูกค้าต้องเสียเวลาจัดเตรียมเอกสาร)
เวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ มีโทรศัพท์จากทีมอนุมัติสินเชื่อ ติดต่อกลับมาว่า ผลขออนุมัติดอกเบี้ยพิเศษของผมไม่ผ่าน เพราะไปตรวจสอบประวัติของคู่สมรสว่ามีการติด Blacklist อันนี้ผมถึงกลับงงเป็นไก่ตาแตก เพราะวงเงินกู้สินเชื่อนี้ ผมกู้คนเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภรรยา และเงินกู้ตัดผ่านบัญชีเงินเดือน ไม่เคยมีประวัติไม่ชำระ และอีกทั้งไม่มีเอกสารขออนุญาติจากทางธนาคารเพื่อเช็ค Blacklist หรือ Credit bureau ของคู่สมรสผมเลย แต่งงว่าทำไมธนาคารมีสิทธิ์ไปตรวจสอบ และผมมีประวัติดีมาตลอด
จากจุดนี้เอง ผมเลยเริ่มไปปรึกษากับเพื่อนๆที่ทำงานในแวดวงธนาคารเกี่ยวกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทุกคนที่รู้จักถึงกลับตกใจว่าธนาคารสีม่วงมีสิทธิ์อย่างไร ในการตรวจสอบข้อมูล ของคู่สมรสผมทั้งทีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกู้ และขอลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ เพราะธนาคารไม่มีสิทธิ์ที่จะดำเนินการในส่วนนี้ได้เอง หากไม่ได้มีการขออนุญาติจากเจ้าของบัญชีในการตรวจสอบเครดิต (ความงี่เง่าและขึ้โกงอันดับ 3)
พอได้รับคำตอบ ผมจึงเรื่มเปลี่ยนใจ ยอมที่จะเสียเวลาเพื่อทำเรื่องย้าย Refinance ไปสีอื่นที่น่าจะตอบโจกท์มากกว่า
ผมเริ่มประสานงานส่งเอกสารเพื่อขออนุมัติ จนได้รับอนุมัติ และเหลือขั้นตอนสุดท้าย คือ ขาดสำเนาเอกสารใบรับเงินกู้เมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อเป็นเอกสารประกอบการอนุมัติของอีกธนาคาร
ผมกลับมาติดต่อกับทางแบงค์ม่วงอีกครั้ง ก็ได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม คือส่งอีเมล์ให้ส่งคำร้องงี่เง่า เอกสารเหมือนครั้งก่อน เพื่อขอเอกสารแค่สำเนาใบรับเงินกู้ เพื่อนำไปส่งต่อให้กับทางอีกธนาคารเพื่อ final approve และรอทำสัญญา
และหลังจากที่ทำในส่วนนั้นเสร็จ ต้องกลับมาส่งใบคำร้องอีกครั้ง เพื่อขอทำเรื่องปิดบัญชี และ Refinance เพื่อไปโอน และพร้อมใบเสร็จรับเงินเดือนสุดท้าย ที่พึ่งชำระไป
และก็ต้องรออีก อย่างน้อย 15 วันเช่นเคย เพื่อขอผลอนุมัติการขอ Re Finance และหากไม่อนุมัติ ก็จะต้องรออีก 15 วันไปเรื่อย ๆ
จากเหตุการณ์ที่เล่ามาสรุปได้เลยว่า ทางแบงค์ม่วงในตำนานก็ใช้สูตรเดิมๆ เพื่อดึงให้ดอกเบี้ยวิ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะย้ายกันจบ อย่างน้อยก็คงต้องมีอีกเป็นเดือน หรือต้องจ่ายดอกเบี้ยของเดือนที่จะถึงอีก และไม่แน่ใจว่าจะได้โอนไปที่ใหม่หรือไม่ ทั้งๆที่ไม่อยากลดดอกเบี้ยแต่ก็ไม่ยอมให้ออกไปง่ายๆ
ขอฝากเตือนเพื่อนๆ ทุกๆคนที่คิดว่าจะใช้ม่วงในตำนาน ก็ให้คิดให้ดีๆ ก่อน ว่าหากจะอยู่ยาวก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่หากวันไหนไม่พอใจ จะย้ายออกหรือขอดอกเบี้ยพิเศษ คงต้องคิดกันหนัก เพราะแบงค์นี้ขึ้นชื่อเรื่องดึง
เคสผมหากรอบนี้ไม่ได้รับการติดต่อหรือช่วยเหลืออย่างดี ผมคงต้องแจ้งไปที่ BOT เพื่อร้องเรียนแน่นอน
ขอแชร์ประสพการณ์ไว้เท่านี้ ขอให้ทุกท่านโชคดีนะครับ ก่อนตัดสินใจเลือกใครมาดูแลเรา